ข่าวสารทีพีไอ

เปิดขั้นตอนการผลิต ‘ปูน’ บนแนวคิด ‘Green Cement’

เปิดขั้นตอนการผลิต ‘ปูน’ บนแนวคิด ‘Green Cement’
จาก ‘TPI Group’ ลดปล่อยมลภาวะ หยุดปัญหาโลกร้อนอย่างตรงจุด

.
เมื่อ ‘ปูน’ ยังคงเป็นวัสดุก่อสร้างหลักของอาคารตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงตึกสูงระฟ้า จึงอาจกล่าวได้ว่าการขยายตัวของ ‘เมือง’ ต่างๆ ในปัจจุบัน เกิดขึ้นได้โดยมีปูนเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ทั้งนี้อุตสาหกรรมการผลิตปูนส่วนใหญ่ ยังคงใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน ซึ่งเป็นฟอสซิลในกระบวนการผลิตอยู่
.

แต่ในวันนี้ แม้แต่อุตสาหกรรมหนักอย่างการผลิตปูนสามารถเป็น ‘อุตสาหกรรมสีเขียว’ (Green Industry) ได้ โดยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาผนวกรวมกับขั้นตอนการผลิต เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ ไปจนถึงส่งขายยังมือลูกค้า โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อมในทุกทางไม่ว่าจะเป็น การจัดการมลภาวะในรูปแบบต่างๆ การบริหารน้ำใช้และน้ำทิ้ง รวมไปถึงการจัดการของเสียเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
.
โดยบริษัทอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ที่มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับกระบวนการผลิตอย่างครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งอย่าง ‘TPI Group’ ได้มีการนำเทคโนโลยีทันสมัยมากมายเข้ามาปรับใช้กับกระบวนการผลิตตั้งแต่เริ่ม จนจบ และได้นำหลักหลักเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เข้ามาปรับใช้กับรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นส่งเสริม ‘สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล’ (ESG) อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าเป็นอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 0% (Net Zero Emission) ในปี 2593 อีกด้วย
.
วันนี้ Future Trends จะขอพาทุกคนไปดูกันว่า ในวันที่ปัญหาภาวะเรือนกระจกกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ อุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์จะเดินหน้าไปทางไหน และ TPI Group จะดำเนินธุรกิจอย่างไรให้สามารถเดินหน้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์สีเขียว (Green Cement) ที่นอกจากจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตด้วย มาติดตามกัน

เปิดกระบวนการผลิตปูน แบบ ‘TPI Group’ ปูนไทย ดังไกลระดับโลก

.
ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า กว่าจะเป็นปูนซีเมนต์ที่พร้อมให้เรานำไปใช้งานนั้น ต้องผ่านกรรมวิธีการผลิตอย่างไรบ้าง โดยวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้ในการผลิตคือ ‘หินปูน’ จากเหมืองที่ได้รับสัมปทานก่อนจะนำมาย่อยให้มีลักษณะคล้ายก้อนกรวดเล็กๆ และนำไปบดจนเป็นฝุ่นผง จากนั้นนำเข้าสู่กระบวนการทำ ‘ปูนเม็ด’ ด้วยการเผาด้วยความร้อนสูง และใส่สารประกอบเพิ่มเติมลงไป จนกลายเป็น ‘ปูนซีเมนต์’ พร้อมใช้แบบที่เราเห็นกัน
.
สำหรับผลิตภัณฑ์ปูนจาก TPI Group ได้ผลิตออกมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปูนซีเมนต์ ปูนเม็ด และปูนสำเร็จรูป โดยในปัจจุบัน TPI Group มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ และปูนเม็ดรวมกันอยู่ที่ 13.5 ล้านตันต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตปูนสำเร็จรูปอยู่ที่ 3 ล้านตันต่อปี ซึ่งทำให้มีส่วนแบ่งการตลาด 25% ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมดในประเทศ และเป็นผู้ผลิตพร้อมจำหน่ายปูนซีเมนต์รายใหญ่ 1 ใน 3 อันดับแรกของไทย
.
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น โรงงานปูนซีเมนต์ของ TPI Group ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลด้านคุณภาพ จนเป็นปูนไทยรายแรกที่สามารถส่งออกไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียได้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก
.
ทั้งนี้ แม้ ‘ปูน’ จะเป็นผลิตภัณฑ์หลัก แต่ TPI Group ได้แตกไลน์เป็นผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ด้วย เช่น คอนกรีตผสมเสร็จ อิฐมวลเบา และกระเบื้องคอนกรีต ไม้เทียม FIBER CEMENT รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (DIY) อื่นๆ เช่น ปูนสำเร็จรูป (Motar) ชนิดต่างๆ, ปูนกาว Motar, ปูน Motar ยาแนว, ปูน Motar ซ่อมบ้าน, ปูน Motar ฉาบ, ปูน Motar Sealant Grouting, ปูนอุดกันน้ำรั่ว (WaterPlug Motar), ปูนปั้นรูปประติมากรรม หรือสีทาบ้าน, สีกันสนิมสำหรับโครงสร้างเหล็ก สีกันกรด เป็นต้น
.
นอกจากนี้ หน่วย Research and Development ของบริษัทได้พัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ HealthCare สำหรับรักษาสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน ได้แก่ สบู่เหลวล้างมือ, น้ำยาดับกลิ่น (BIOSAN), แอลกอฮอล์ล้างมือ, น้ำยาขจัดคราบมัน, Microme Knox Solution, BIOKNOX, น้ำยาบ้วนปาก ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา พฤติกรรมการซื้อขายสินค้าของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป ทำให้ TPI Group ต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การตลาดเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น จึงได้มีการเปิดแพลทฟอร์มร้านค้าดิจิทัล เพื่อเป็นช่องทางในการซื้อขายผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ (Logistics) ให้สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น และมีความแม่นยำถูกต้องมากขึ้น เพื่อเป็นการปรับตัวเข้ากับโลกยุคปัจจุบัน และเสริมความแข็งแกร่งของสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในเครือ TPI Group

ชวนดูแนวคิด ‘Green Cement’ จาก TPI Group
เมื่ออุตสาหกรรมผลิตปูน ช่วยส่งเสริมการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนได้


.
เพราะอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ต้องใช้วัตถุดิบ และเชื้อเพลิงในปริมาณมหาศาลไม่ว่าจะเป็น หินปูน ถ่านหิน และน้ำมันเตา อีกทั้งการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทาง TPI Group จึงให้ความสำคัญกับการนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการบริหารการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
.
เพื่อเป็นการลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินลง TPI Group จึงหันมาใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียนในรูปแบบของ ‘น้ำมัน’ ที่ได้จากการแปรรูปขยะ (Pyrolysis Oil) และยังนำน้ำมันที่ถูกใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตอื่นๆ เพื่อใช้ซ้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย TPI Group สามารถนำเชื้อเพลิงทดแทนเหล่านี้มาใช้แทนถ่านหินได้กว่า 30-40% และของทิ้งที่เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่นกัน โดยในปัจจุบันสามารถนำหินคลุกเหลือทิ้งมาผ่านกระบวนการแปรสภาพ และนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ได้ถึง 100% แล้ว
.
นอกจากเรื่องเชื้อเพลิงแล้ว พลังงานต่างๆ โดยเฉพาะพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิต เป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานที่ทาง TPI Group ให้ความสำคัญ มีการนำมาใช้ซ้ำกับหม้อบดวัตถุดิบ และหม้อบดถ่านหิน ซึ่งสามารถช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงไปได้มหาศาล
.
ด้วยนวัตกรรมใหม่ Hydraulic Cement ของ TPI ก็สามารถทดแทน Portland Cement ได้โดยสามารถลดพลังงานการผลิตปูนและลด Carbon Emission ลงได้กว่า 10% และยิ่งไปกว่านั้น Super Mixed Cement ของ TPI Group ทำให้ปูนน้ำหนัก 40 กิโลกรัม สามารถใช้งานได้เทียบเท่า Mixed Cement ทั่วไป 50 กิโลกรัม ผลที่ได้คือใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่า แต่คุณภาพของผลิตภัณฑ์สูงขึ้นแทน และทำให้ลดสภาวะโลกร้อนลง
.
ทั้งนี้ การลดต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์ ของ TPI Group มาจากการใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันดีเซลในการขนส่ง และพลังงานความร้อนสูงถึง 40% โดยการใช้ขยะเทศบาลแทนถ่านหิน และนวัตกรรมต่างๆ ที่ทำให้กระบวนการผลิตใช้พลังงานน้อยลง จึงทำให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น และเติบโตขึ้น ควบคู่การส่งเสริมการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป โดยการลด Carbon Dioxide Emission สู่ Zero Carbon Emission
.
สุดท้ายคือการจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งนับเป็นทรัพยากรสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิต ทาง TPI Group จึงให้ความสำคัญกับการนำทรัพยากรน้ำมาใช้ รวมไปถึงการนำน้ำเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ด้วย โดยโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ TPI Group จะไม่มีการระบายน้ำเสียออกจากโรงงานเลย และยังนำ Liquid Waste มาช่วยกำจัดและท่อน้ำขยะจะมีการบำบัดปรับปรุงคุณภาพของน้ำให้อยู่ในมาตรฐาน EIA แล้วนำกลับมาใช้ได้อีกโดยไม่มีการปล่อยออกมาภายนอกโรงงาน

TPI Group เดินหน้าสู่องค์กร ESG เต็มตัว ยึดหลักเศรษฐกิจ ‘BCG’ ปรับใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต

.
อย่างที่เราทราบกันดีว่าทรัพยากรธรรมชาติในโลกใบนี้มีจำกัด แต่ความต้องการใช้ทรัพยากรเหล่านี้มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การนำทรัพยากรในปริมาณเท่าเดิมที่เคยใช้ มาประยุกต์ให้เกิดผลลัพธ์มากกว่าที่เคยทำได้ คือโจทย์สำคัญของธุรกิจในยุคนี้ อีกทั้งการบริหารทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ยิ่งตอกย้ำปัญหาต่างๆ ที่โลกของเรากำลังแบกรับอยู่ในแง่การช่วยเหลือต่อสังคม TPI เป็นหนึ่งในบริษัทที่บริจาคดูแลสังคม บริจาคให้ประชาคมมีความสุข
.
เมื่อเป็นเช่นนั้น TPI Group จึงให้ความสำคัญกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยเป็นการนำทรัพยากรเหลือใช้จากกระบวนการผลิตหนึ่ง ไปเป็นวัตถุดิบของอีกกระบวนการผลิตหนึ่ง วิธีนี้จะทำให้ทรัพยากรในปริมาณเท่าเดิมสามารถให้ผลลัพธ์ที่มากกว่าเดิมได้ อีกทั้งยังเป็นการลดของเสียเหลือทิ้งที่เกิดจากกระบวนการผลิตได้อีกด้วย
.
การนำของเสียจากกระบวนการผลิตกลับเข้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง จึงเป็นส่วนสำคัญของหลักเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่ทาง TPI Group ให้ความสำคัญ เพราะทุกกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมในเครือทั้งวัสดุก่อสร้าง และพลังงานทดแทนรูปแบบต่างๆ ล้วนดำเนินโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด
.
ที่สำคัญคือ นอกจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ทาง TPI Group ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของกลุ่มผู้บริโภค จึงได้นำเทคโนโลยีชีวภาพรูปแบบต่างๆ มาใช้ในการผลิตสินค้าต่างๆ ของแบรนด์ และด้วยความที่เป็นเทคโนโลยีการผลิตโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก และได้การรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากลต่างๆ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จาก TPI Group จะปลอดภัยกับผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ให้มีรายได้สูงขึ้น เพราะสามารถส่งขายผลิตผลของตนเองได้มากขึ้น จึงเกิดเป็นหลักเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ที่ต่อยอดส่งเสริมทั้งสิ่งแวดล้อม และสังคมไปพร้อมกัน
.
โดยทั้งสามส่วนนี้ ทาง TPI Group ได้ดำเนินการร่วมกัน เป็นการดำเนินการเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้การดำเนินธุรกิจของ TPI Group เดินสู่ความเป็น ESG ได้อย่างชัดเจน และตรงจุดมากขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นหลักที่ผลักดันให้ TPI Group เติบโตทางด้านนวัตกรรมจนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และเป็นการกระจายรายได้สู่ประชากรในพื้นที่ด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนในรูปแบบต่างๆ

เพราะเคล็ดลับของ TPI คือ Technology(เทคโนโลยี), Products(คุณภาพผลิตภัณฑ์), Innovation(นวัตกรรม) ธุรกิจจึงเติบโต ควบคู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อมได้

.
จะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจของ TPI Group นั้น ให้ความสำคัญการการพัฒนาสิ่งแวดล้อม และชุมชนอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจให้เกิดความเติบโต และสร้างฐานกำไรให้มากขึ้น ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้จะต้องมีการกำกับบริหารกิจการที่ดีด้วย และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ต้องตั้งเป้าให้อยู่ในเกณฑ์ ‘ดีที่สุด’ อยู่เสมอ ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต จนถึงผลลัพธ์ที่เป็นตัวผลิตภัณฑ์
.
ซึ่งทาง TPI Group ได้รับการรับรอง และรางวัลจากสถาบันระดับโลกมากมาย เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิตในขั้นตอนต่างๆ เป็นไปตามมาตรฐานสากล
.
โดย TPI Group ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย เช่น รางวัลบริษัทที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2021 โดยเป็น 1 ใน 3 บริษัทในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ และยังได้รับรางวัลบริษัทที่ริเริ่มจัดการขยะครบวงจรดีที่สุด ประจำปี 2021 เนื่องจากเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากการกำจัดขยะที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับรองเป็น ‘อุตสาหกรรมสีเขียว’ ระดับ 4 และได้รับการประเมินผลงานด้าน ESG ในระดับ Gold จากสถาบันไทยพัฒน์
.
นอกจากนี้ยังได้รับมาตรฐานระดับสากลระดับ ISO ทั้ง 4 แขนง ได้แก่
- มาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ (ISO 9001:2015)
- มาตรฐานระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (ISO 14001:2015)
- มาตรฐานระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018)
- มาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (ISO 50001:2011)
อีกทั้งยังที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 และ
มอก.17025:2561 อีกด้วย
.
จึงเป็นที่ชัดเจนว่านับตั้งแต่ ปี 2539 ที่ TPI Group ได้การรับรองมาตรฐาน ISO 9000 เป็นครั้งแรก ทางองค์กรไม่หยุดที่จะเดินหน้าตามมาตรฐานสากลในด้านอื่นๆ จนได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ และแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยอิงหลักเศรษฐกิจ BCG เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กร ESG อย่างเต็มตัว จึงเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับระดับโลก สร้างฐานความมั่นคงด้านชื่อเสียงให้องค์กร พร้อมเดินหน้าเติบโตขึ้นต่อไปในอนาคต

.

.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Future Trends

แชร์บทความ

สั่งซื้อสินค้า
รหัส:

0.00 บาท
จำนวน
รหัส:

0.00 บาท
จำนวน